หากเรามีความเชื่อว่าชีวิตของเราต้องการใครซักคนเพียงคนเดียวที่อยู่กับเราอย่างแท้จริง
เป็นเพียงคนๆหนึ่งที่ปรารถนาจะอยู่กับเรา
ตลอดจนหยุดการรับรู้ของการลิ้มรส จนไร้ซึ่งความรู้สึกแห่งกายสัมผัส
จนตราบเท่าที่เราจะมองเห็น
จนสิ้นเสียงสุดท้ายของการได้ยิน จนหมดความรู้รับของการได้กลิ่น
และจนจิตแห่งมนุษย์มลายหายไป
เป็นเหมือนเพื่อนที่ให้ความสนุก
เป็นเหมือนพี่ที่คอยให้ความช่วยเหลือ
เป็นเหมือนน้องที่ต้องการการเอาใจใส่
เป็นเหมือนครูที่ให้คำปรึกษา
เป็นเหมือนญาติที่คอยให้ความคิดถึง
เป็นเพียงมนุษย์ที่คอยแบ่งปันความรู้สึก ความห่วงใย
และให้ความทะนุถนอมกับเรา
เราคงต้องมีความเข้าใจการใช้ชีวิตคู่ให้ลึกซึ้งเสียก่อน
รวมไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่อยู่ในความคิดการปรุงแต่งของจินตนาการ
หากเราไม่ได้เข้าใจเรื่องเหล่านี้อย่างแท้จริง ไม่ได้แยกแยะให้ชัดเจน
จะนำมาสู่การปะปนผสมผสานกลายเป็นเหตุผลที่นำมาทำร้ายกัน
ซึ่งจะทำให้ชีวิตคู่ที่สวยงามกลับกลายเป็นสิ่งที่มืดมน
กลายเป็นสิ่งที่ไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องได้อีกต่อไป
หากเราให้ความคิด ค่านิยม ในแบบที่เราต้องการ
ในแบบที่จินตนาการไว้ รวมถึงรูปแบบความคิดเก่าๆหรือจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านเข้ามา
เป็นพื้นฐานในการดำเนินชีวิตร่วมกัน
คงจะกลายเป็นเรื่องที่จะทำให้สูญเสียแก่นแท้การใช้ชีวิตคู่
เพราะถ้าทั้งสองฝ่ายต่างใช้ความคิด กรอบแนวคิดต่างๆ
ที่ถูกระดมใส่หัวมาตลอดก่อนเรื่องราวแห่งความสวยงามนี้จะเกิดขึ้น
ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไร ก็คงหนีไม่พ้นปัญหามากมายที่จะโถมเข้าใส่
ทั้งเรื่องเก่าเรื่องใหม่ ทั้งการคาดการณ์จากปัญหาที่เกิดขึ้น
จะถูกหยิบขึ้นมาเป็นเหตุผลเพื่อโต้เถียงกัน
สิ่งแรกที่เราควรทำความเข้าใจ คือ เราไม่สามารถใช้ความรู้สึกมานำทางชีวิตได้ทั้งหมด
ความรู้สึกเป็นส่วนประกอบส่วนหนึ่งเท่านั้น บางคู่ที่แยกทางกันให้เหตุผลว่า
ไม่มีความรู้สึกดีๆ ไม่มีความรู้สึกที่ดีเหมือนก่อน
แต่ก่อนเคยรู้สึกอย่างไรจะให้รู้อย่างนั้นในปัจจุบัน
หากเป็นเช่นนั้นคงเป็นการที่เราไม่ยอมรับความจริง
ลองนึกภาพง่ายๆ ครั้งแรกที่เราเคยจับมือกับคู่ของเรา เรารู้สึกอย่างไร
เราอาจจะรู้สึกดี มีความสุขที่เปี่ยมล้น เรารู้สึกถึงการได้ครองคู่
เมื่อเวลาผ่านไปคุณได้จับมืออีกครั้ง คุณจะรู้สึกแบบเดียวกับวันแรกไหม
แน่นอนว่าไม่ เพราะถ้าจะรู้สึกแบบเดียวกันคงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้
นั่นเป็น แก่นแท้ของความรู้สึก คือ
มันไม่เคยเหมือนเดิม มันเปลี่ยนแปลงตลอด แล้วเราจะให้สิ่งที่มันเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดมานำทางการใช้ชีวิตคู่ได้อย่างไร
ถึงตัวอย่างที่ยกให้เห็นอาจเป็นเพียงเหตุการณ์ที่ไม่ได้ใช้ความรู้สึกอะไรมากนัก
แต่ความรู้สึกทุกความรู้สึกมาจากพื้นฐานเดียวกัน คือ
มีสิ่งเร้าที่มากระทบสัมผัสการรับรู้ ผ่านเข้าสู่ภายในที่มีพื้นฐานของความรู้ต่างๆ
ผนวกกับการยึดถือยึดมั่นตัวตนทำให้เรามีความรู้สึกสุขหรือทุกข์
ดังนั้นจากความรู้สึกที่ดูยิ่งใหญ่หรือความรู้สึกเล็กๆน้อยๆ
ก็ยังคงเป็นความรู้สึกที่มีพื้นฐานเดียวกัน มีแก่นแท้เดียวกัน
อีกเรื่องหนึ่งที่เราควรทำความเข้าใจ
ในการดำเนินชีวิตคู่ คือ
การไม่นำตัวเองเป็นที่ตั้งในการตัดสินใจเรื่องของคนสองคนหรือเมื่อปัญหาระหว่างการร่วมชีวิตเกิดขึ้น
โดยให้คำว่า “ยอม” เป็นตัวนำทาง
เมื่อปัญหาเกิดขึ้นซึ่งท้ายที่สุดแล้วไม่ว่าใครจะชนะหรือแพ้
ทั้งสองก็ยังอยู่ด้วยกันอยู่ดี
ด้วยเหตุผลแรกเริ่มที่เป็นตัวตั้งต้นให้ร่วมทางกัน
การที่ฝ่ายหนึ่งต้องการอะไรบางอย่างตามใจตนเอง ให้อีกฝ่ายทำตาม
สุดท้ายแล้วไม่เห็นจะมีอะไรดีขึ้นมาก็แค่ฝั่งชนะได้ตามความต้องการเท่านั้น
ถ้ามีฝ่ายหนึ่ง “ยอม” เรื่องราวความขัดแย้งต่างๆ จะจบลง
ไม่ว่าจะเหตุผลใด ปัญหาที่ใหญ่แค่ไหน นอกจากเรื่องความไม่ซื่อสัตย์ซึ่งเป็นพื้นฐานของการใช้ชีวิตคู่
เพราะคำว่าชีวิตคู่ หมายถึง การอยู่ร่วมกันของคนสองคนเท่านั้น
อย่าลืมเหตุผลที่เราต้องการครองคู่กันเมื่อเรื่องราวนี้ได้เริ่มขึ้น
เราต้องการมอบสิ่งดีๆ มอบความรู้สึกที่ดี ทำในสิ่งที่ให้อีกฝ่ายรู้สึกประทับใจ
เรายอมให้ในสิ่งที่เป็นของเรา
เรายอมลดความเป็นตัวตนของเราลงเพื่อให้สามารถเข้าถึงอีกฝ่ายได้ เรื่องราวทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นด้วยคำว่า
“ยอม” และยังคงดำเนินต่อไปตราบเท่าที่กาลเวลาจะนำพาคนทั้งสองไป
ด้วยคำว่า “ยอม” เช่นเดียวกัน
แล้วคนที่ไม่เคยซื่อสัตย์ คงไม่ได้อยู่ในประเด็นนี้ใช่ไหม
ตอบลบถ้าหากกล่าวถึง เรื่องการมีชู้ ผมได้กล่าวไปแล้วว่า เรื่องของการนอกใจ หรือ การครองคู่ หมายถึง การอยู่ร่วมกันของคนสองคนเท่านั้น
ตอบลบซึ่งการครองคู่ มีหลักพื้นฐานอยู่แล้วว่า ผัวเดียวเมียเดียว สิ่งที่ผมเขียนขึ้นเป็นเพียงแนวทางหนึ่ง แต่นั่นก็ยังอยู่บนหลักของศีลธรรมด้วย เพราะการนอกใจนำมาซึ่งความเป็นทุกข์อยู่แล้ว
และแน่นอนว่าเราให้ต้องอภัยในความผิด เพราะจะทำให้เราหลุดจากความทุกข์ทุกครั้งที่คิดถึง หากเราได้ให้อภัยไปแล้ว คิดเมื่อไหร่มันก็จะไม่โกรธ หรือทุกข์ แต่เราจะอยู่กับคนไม่ซื่อสัตย์ ที่หลงผิดต่อไปหรือไม่สุดแท้แล้วแต่บุคคล ถ้าคิดว่าการให้โอกาสต่อไปอีกครั้งแล้วเรื่องของความไม่ซื่อสัตย์จะไม่เกิดขึ้น ก็อาจทำได้ แต่ถ้าเรารู้นิสัยคนๆนั้นไม่เคยเปลี่ยน สุดท้ายแล้วก็ต้องปล่อยไป
แต่สิ่งที่เหลือเมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็กลับมาอยู่ที่เรื่องของการตัดสินใจ ว่าจะตัดสินใจอย่างไร เมื่อถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจคุณก็ต้องเลือก เพราะถ้าคุณไม่เลือก ปัญหาเรื้อรังก็ยังมีอย่างไม่จบไม่สิ้น เนื่องจากยังไม่ได้ตัดสินใจที่จะแก้ปัญหานั้น ลองอ่านแนวทางของเรื่องการตัดสินใจที่ผมเขียนดูว่าจะทำอย่างไรเมื่อต้องตัดสินใจ