วันพุธที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2556

แนวทางในการคิด (ตอนที่ 2)

           สำหรับท่านผู้อ่านที่ติดตามตอนแรกของเรื่องนี้ไป คือ เรื่องของการทำความเข้าใจต่อสิ่งต่างๆที่จะส่งเสริมให้เราใช้ความคิดได้ดีขึ้น ในตอนนี้ มาถึงวิธีการคิดต่างๆ ซึ่งก็แล้วแต่บุคคลว่าถนัดใช้วิธีการคิดแบบใด ท่านผู้อ่านทั้งหลายอาจใช้วิธีการเหล่านี้อยู่แล้วในชีวิตประจำวัน (สำหรับท่านที่ยังไม่ได้อ่านตอนแรก http://in2dept.blogspot.com/2013/06/1.html )


-         - การคิดแบบผสมผสาน
คือ การนำสิ่งของที่เรารู้จักกันดีอยู่แล้ว ที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกันมาผสมรวมกันเป็นสิ่งใหม่

-        -  การคิดโดยใช้หลักการเหตุและผล
             คิดอย่างเป็นระบบ ใช้การวิเคราะห์ พยายามแยกแยะทางเลือกออกมาเป็นข้อๆ โดยคาดหวังในการลดความเสี่ยงให้มากที่สุด

-       -   การคิดอย่างไม่เป็นระบบ
            ไม่ได้ใช้หลักของเหตุผล เมื่อเราเข้าใจปัญหาแล้วเราจึงคิดไปเรื่อยๆ โดยมีเป็นปัญหาเป็นตัวนำทางเรา ซึ่งเราอาจคิดทางออกทั้งหมดออกมา เปรียบเหมือนทำกับข้าวแบบเชฟหมี ที่หยิบจากสิ่งที่มีทั้งหมด แล้วลองมาผสมผสานเป็นสิ่งใหม่

-        -  การทำสมาธิช่วยให้คิด
            บางครั้งการปล่อยให้การรับรู้ของเรา มีผลต่อสภาวะของจิตหรือสมาธิ จะทำให้เราไม่สงบเพราะความเป็นจริงของการรับรู้ ทั้ง 5 จริงๆ อยากบอกว่ามี 6 อย่าง คือ การรับรู้ของใจ เพราะแม้เราไม่รับรู้ต่อสิ่งเร้าใด ผ่านสัมผัสทั้ง 5 บางทีเราก็รู้สึก สุขหรือทุกข์ได้ อันเนื่องมาจากความจำในอดีตหรือจิตปรุงแต่ง ทำให้เกิดการรับรู้ทางจิตไปสู่จิต เหมือนกับคนที่ไม่เคยนั่งสมาธิ พอนั่งแล้วจะไม่สงบ คิดนั่นนี่ตลอดเวลา สัมผัสทั้งหมดของเรามันจะรับรู้ต่อสิ่งรอบตัวอยู่ตลอดเวลา เช่น หากเราไม่ชอบเสียงรถที่วิ่งดังๆ เราจะไม่สามารถปิดระบบการรับรู้ได้ แต่ถ้าเราสะกดให้จิตเรานิ่งโดยการทำสมาธิ เพื่อไม่ให้สนใจสิ่งรอบตัวที่รับผ่านสัมผัสทั้งหมด จะทำให้นิ่งสงบ เมื่อเราสงบเราก็อาศัยความสงบนั้นเพื่อคิดไตร่ตรองปัญหา หรือ คิดตามจุดประสงค์ที่เราต้องการ จะทำให้เรามีพลังในการจดจ่ออยู่ที่เรื่องๆเดียวได้ ซึ่งแล้วแต่บุคคลว่าจะทำสมาธิแบบไหน นอน นั่ง ยืน หรือ เดิน แต่วิธีการแบบนี้อาจจะไม่ตรงเป้าหมายในทางพุทธศาสนา เพราะจริงๆ แล้วเค้าต้องการให้เรา ใช้ช่วงที่เราสงบพิจารณาทางโลก หรือเพื่อให้เบื่อหน่ายทางโลก เพื่อพิจารณาสัจธรรมความจริง



-      -   คิดโดยใช้หลักไดอะแกรม
            จะคล้ายกับความคิดอย่างไม่เป็นระบบแต่มีรูปแบบอยู่บ้าง เป็น การปล่อยให้เราไม่ติดอยู่กรอบของความเป็นไปได้ มองว่าทุกอย่างเป็นไปได้แล้วลองคิดออกมา ปรับเปลี่ยนรูปแบบหรือแนวคิดไปหลายๆมุมมอง โดยมี 3 ลักษณะดังนี้
            1.การ บวกเพิ่มจากพื้นฐานเดิม อาจเป็นความคิดที่ธรรมดาที่สุดแต่ถ้าบวกความคิดที่ดูธรรมดา 3 อันเข้าไปอาจกลายเป็นสิ่งใหม่ที่ดูดีขึ้นมาก็ได้
2.การแยกออก จากพื้นฐานความคิดเดิมที่เรามี หรือความคิดใหม่ ถ้าคิดออกมาได้ให้ทำการแยกบางส่วนออกแล้วดูหน้าตาของมันใหม่อีกครั้ง
3. การสลับข้างของความคิด หากเรามีเรื่องราวของความคิด เช่น ลำดับของการเล่าเรื่องนิยายเราเรียงออกมาเป็น 123 เราอาจเรียบเรียงใหม่เพื่อทำให้เกิดความน่าสนใจขึ้นเป็น 312 ก็ได้ หรืออื่นๆ โดยการสลับไปมา

 - คิดในเชิงเปรียบเทียบ
ซึ่งอาจมาจากพบปะพูดคุยกับผู้คน การหาความรู้เพิ่มเติมจากหนังสือ จากสิ่งบันเทิง จากชีวิตประจำวัน จากประสบการณ์ ฯลฯ แล้วนำมาเปรียบเทียบเพื่อประยุกต์ใช้กับเรื่องที่เราคิด โดยดูปัจจัยที่มีความเหมือนคล้ายของสิ่งที่เราเปรียบเทียบกับสิ่งที่เราคิด หากมีความเหมือนกันอาจสามารถนำมาปรับใช้ได้

ในเรื่องของการคิดไม่ว่าจะคิดด้วยวัตถุประสงค์ใด เราจะเผชิญอยู่ภายใต้ข้อจำกัด ไม่สามารถที่จะหาความแน่นอนออกมาได้ ว่าสิ่งที่เราคิดสามารถแก้ปัญหาหรือตอบโจทย์ได้ เราอาจทำให้ดูเหมือนว่าเราเข้าใกล้ความแน่นอนแต่มันก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ จำเป็นต้องใช้หลักที่เคยกล่าวมาผสมผสาน คือ เรื่องของการตัดสินใจและมุมมองในระยะยาว  (ติดตามได้ในบทความเรื่อง “เมื่อต้องเผชิญกับการตัดสินใจ”)


ในการคิดทำอะไร เราควรจะต้องมีความคล่องตัว ในการเปลี่ยนแปลงความคิด หากเราทำอะไรบางอย่าง เมื่อเรารับรู้ได้ถึงความไม่สอดรับ ไม่ว่าจะรับรู้จากผลลัพธ์ที่ออกมาหรือจากการความคาดการณ์ เราต้องมีความคล่องตัวไว้เสมอ มีพื้นที่ให้เราสามารถขยับตัวได้ อย่าทำให้ตัวเองถูกล็อคอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง หรือติดกับขอบเขตสถานการณ์บางอย่าง เพราะเมื่อเราล็อคตัวเราเอง เราก็ไม่อาจใช้ความคิดที่มีมาแก้ไขสิ่งใดได้ บางทีเราก็ต้องขยับขอบเขตด้วยตัวเอง หากเรารอให้ขอบเขตเป็นตัวขับเคลื่อนทั้งหมด เราจะกลายเป็นผู้ที่คิดข้ามเกมไม่ได้ สังเกตหลายๆ ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มาจากคิดข้ามเกมทั้งนั้น ต้องทำให้หนังสือหรือทฤษฎีวิ่งตามการกระทำบ้าง อย่าคอยแต่ให้การกระทำวิ่งตามทฤษฏีเท่านั้น จะเห็นได้ว่าธุรกิจของทางตะวันตกที่ประสบความสำเร็จ เกิดขึ้นก่อนจะมีทฤษฏี เช่น The Long tail ซึ่งผู้เขียนเค้าได้ยกตัวอย่างของแนวคิดจากจากธุรกิจออนไลน์ เช่น  Amazon หรือ iTunes โดยสรุปของแนวคิดนี้ คือ หมดสมัยของการขายสินค้ายอดฮิตที่ได้รับความนิยมเพียงอย่างเดียวที่อยู่ภายใต้ของทรัพยากรที่มีจำกัด ในโลกอินเตอร์เน็ตเราสามารถขายของทุกชิ้นได้ แม้ขายได้เพียงชิ้นเดียว แต่ถ้ามีสินค้าอยู่ล้านชิ้นรวมกันจะกลายเป็นขนาดของตลาดใหญ่สามารถสร้างผลกำไรให้กับธุรกิจได้ ผู้บริโภคจะมีสิทธิเลือกสินค้าได้อย่างไม่ถูกจำกัดเหมือนอดีตที่ผ่านมา เป็นต้น ซึ่งตัวอย่างที่ยกให้เห็นจะมาจากการเริ่มต้นของธุรกิจก่อน ก่อนที่จะมีทฤษฏีขึ้นเขียนเป็นหนังสือ


อ้างอิง

Satory Itabashi 2554, Picto แกะรอยโมเดลธุรกิจต่อยอดกำไรไม่รู้จบ, กรุงเทพฯ: ส.ส.ท.

สรรค์ชัย เตียวประเสริฐกุล 2553, Inner Motivation และ Creativity เกี่ยวกันอย่างไร เรื่องที่คุณต้องรู้! (ตอนที่ 2).สืบค้นเมื่อ 11 มิถุนายน 2556, จาก

http://www.brandage.com/Modules/DesktopModules/Article/ArticleDetail.aspx?tabID=7&ArticleID=5557&ModuleID=701&GroupID=1336

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น