ท่ามกลางผู้คนมากมายหลายหลายความคิดที่สะท้อนมุมมองออกมานำไปสู่การกระทำในแต่ละความเชื่อต่อมุมมองของ
“โชคชะตา” ผู้คนที่เชื่อ โชค ดวง เชื่อว่ามีบางอย่างที่มีอิทธิพลต่อความสำเร็จหรือความล้มเหลวที่ตนไม่ได้ควบคุมมันอยู่
พยามยามให้สิ่งเหล่านี้อยู่ในการควบคุม บางคนสรรหาสิ่งที่จะบอกอนาคต
บางคนนำสิ่งที่มีพลังพิเศษมาเสริมทัพในการทำมาหากิน
บางคนทำพิธีกรรมโดยมุ่งหวังจะหายจากความเจ็บปวดให้ทุเลาลง และบางคนใช้สิ่งของแห่งความเชื่อนี้สนองความเลวทรามของตน
อีกมุมหนึ่งยังมีผู้คนที่มีความเชื่อว่า โชคชะตาเป็นเรื่องไร้สาระ
ไม่อยู่ในหลักการของตรรกะ ไม่สมกับเป็นมนุษย์ผู้ปราดเปรื่องที่สามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์ต่างๆ จากเดิมที่ไม่มีอยู่บนโลกได้ ผู้คนมีความเชื่อในความสามารถที่จะควบคุมโชคชะตาได้
เชื่อว่าเมื่อตนเป็นผู้กระทำจึงจะนำมาสู่ผลของการ กระทำนั้น จะไม่ให้การกระทำของสิ่งที่ไม่เป็นผลต่อเหตุที่ตนต้องการ
ในทั้งสองมุมมองมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกัน คือ
ไม่ว่าอยู่ในความเชื่อใดผู้คนเหล่านั้นยังต้องการที่จะควบคุมให้ตนเองได้สิ่งที่ปรารถนา
ได้สิ่งที่ต้องการ มุมมองแรกต้องความรวดเร็วของผลลัพธ์
มุมมองที่สองยอมรับว่าจะได้อะไรมาจะต้องอาศัยเวลา แต่ล้วนยังต้องการจะควบคุมทั้งสิ้น
ถ้าเราลองเชื่อในแต่ละมุมมอง มองในมุมที่พวกเขาเชื่อก่อน
เพื่อให้เข้าถึงปัจจัย สาเหตุของความเชื่อเหล่านั้น แล้วลองถอยมานั่งคิดใหม่ว่าเราจะเลือกความเชื่อไหนหรือพร้อมที่จะเชื่อทั้งสองมุมมองนี้พร้อมๆกัน
หรือถึงแม้จะไม่ได้ข้อสรุปที่แน่ชัดแต่ก็ทำให้เราได้อะไรบางอย่างจากการถกประเด็นนี้อย่างแน่นอน
เราลองมาคุยกันถึงความเชื่อแรก
สมมุติว่าเราเป็นบุคคลหนึ่งที่เชื่อในเรื่องดวง โชค ชะตาฟ้ากำหนด เชื่อว่าเราไม่ได้เกิดมาเพียงชาติเดียว ถ้าเราเชื่อว่าการมองเห็นอนาคตมีจริง
และถ้าการทำนายอนาคตที่จริงๆแล้วผู้ที่ทำนายนั้นมองเห็นกรรมของเราที่เคยทำมาในอดีตชาติ
คำถามที่สำคัญน่าจะอยู่ที่ “เราพอใจในตนเองหรือไม่”
ยอมรับในสิ่งที่เป็นในทุกวันนี้หรือไม่ ถ้ารับได้ พอใจในสิ่งที่มี ในสิ่งที่ทำและยอมรับว่าทุกอย่างต้องปล่อยไปตามสิ่งที่มันจะเป็น
เราไม่อาจหลีกหนีกฎแห่งกรรมไปได้ ต่อให้มีสิบผู้วิเศษบอกอนาคตได้ แม่นในทุกช่วงอายุ ในแต่ละเดือน และสามารถบอกให้เราการกระทำบางสิ่งเพื่อให้ได้สิ่งที่สมหวังได้
เห็นทีจะไม่มีความหมายใด เพราะนั่นเป็นเพียงวิธีการหนึ่ง เป็นเรื่องอนาคต เป็นเพียงความต้องการที่อยากจะได้มาในความไม่เคยพอของตนเอง
เราควรจะปล่อยให้เป็นเพียงความเชื่อที่เราเชื่อแต่ไม่ปล่อยให้ความเชื่อนำมาสู่การควบคุมทิศทางของการกระทำ
ครั้งเรายังเป็นเด็กเราเลือกเข้าโรงเรียนที่คิดว่า มีเกรด มีชื่อเสียง
เราพยายามอ่านหนังสือจนสามารถสอบเข้าได้ แต่สิ่งหนึ่งที่คุณเลือกไม่ได้ คือ เพื่อนที่คุณเจอหรืออาจารย์ที่มาสอน
เช่นเดียวกับในทุกการตัดสินใจในทางเลือกของคุณ คุณไม่อาจเลือกเพื่อนในมหาวิทยาลัย
เลือกเจอแต่คนๆดีในที่ทำงาน เลือกเจ้านายที่คอยช่วยเหลือ เลือกเพื่อนที่คอยผลักดัน
ในทางเลือกที่เราเป็นผู้เลือก เราอาจเป็นผู้ควบคุม
ด้วยวิธีการความเชื่อที่เกี่ยวกับโชคชะตานี้ เช่น การดูดวง หรือการเสริมดวง แต่เราก็ไม่สามารถควบคุมทุกอย่างได้แบบเบ็ดเสร็จ
เพราะ “ในสิ่งที่เราควบคุมได้มีสิ่งที่เราไม่อาจควบคุมได้อยู่ในนั้น”
ในมุมมองความเชื่อที่ว่า
เรื่องโชคชะตาเป็นเรื่องสาระ ไม่มีเหตุผลที่สอดรับกัน ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากการกระทำของตนเอง
ถ้าเรามีความเชื่อในลักษณะนี้ เมื่อเราเกิดความต้องการต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่งในชีวิต ในเรื่องความรัก
การศึกษา ชื่อเสียง ความสำเร็จ การได้รับการยอมจากสังคม การงานที่มีเกียรติ
มีคุณค่า พร้อมสรรพไปด้วยเงินทองมากมายที่ตอบสนองสิ่งของตามปรารถนา
เราจะผลักดันตัวเอง กระทำทุกวิถีทางให้อยู่ในทิศทางของความต้องการนั้น
ดิ้นรนอย่างสุดแรง ไม่ว่าปัญหาใดก็จะก้าวผ่านมันไปให้ได้ เพราะด้วยความเชื่อที่ว่าไม่มีโชคชะตาที่แท้จริง
เรากำหนดทุกสรรพสิ่งขึ้นเอง ความเชื่อนี้จะนำพาเราไปสู่ความพยายามที่จะควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ตามใจหมายด้วยตัวของเราเอง
ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นเราจะเกิดความไม่เป็นสุขเพราะมีสิ่งที่เราควบคุมมันไม่ได้ดั่งใจเรา
เราจะคอยควบคุมสิ่งที่เราทำอยู่ตลอด เช่นเดียวกันกับมุมมองแรก เนื้อแท้ในชีวิตเรา
มีสิ่งที่เราควบคุมได้และไม่ได้ และ
“ในสิ่งที่เราควบคุมได้มีสิ่งที่ควบคุมไม่ได้อยู่ในนั้น”
ไม่เช่นนั้นเราคงสามารถควบคุมจิตใจให้สงบสุขอยู่ตลอดเวลาได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น