ถ้าคุณมีจุดหมายที่จะไปให้ถึงแต่อยู่ในสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้รู้สึก
กระวนกระวาย ร้อนลุ่ม อยู่นิ่งกับที่ไม่ได้จนต้องแสดงอากัปกริยาทางกาย
ทั้งจิ้ปาก ทำคิ้วชน หายใจรุนแรง นั่งเขย่าเท้า ใช้มือกระทบสิ่งของหรือร่างกายด้วยจังหวะที่เร็วกว่าเพลงแดนซ์
เกร็งตามอวัยวะ ถอนหายใจดังๆ ครั้งแล้วครั้งเล่า อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมือนกับอยู่ในโพรงใต้ดินที่มืดสนิทขยับตัวไม่ได้
ไม่สบอารมณ์กับทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาทางสัมผัส กระสับกระส่าย อึดอัดใจ
คุณกำลังลุ้น จดจ่อ วกวนกับเรื่องนี้อย่างไม่หยุดหย่อน
หากอยู่ร่วมกับใครในสถานการณ์นี้คุณอาจจะพูดไม่หยุดเพื่อลดความตรึงเครียด
เบี่ยงความสนใจของตัวเอง หรือ คุณอาจไม่พูดถ้อยคำใดๆกับคนที่อยู่ใกล้ตัวคุณเลย
คุณปล่อยให้ปัญหาที่เกิดขึ้นทับถมอยู่ภายในจนสูงดั่งตึกระฟ้า หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เรียกว่าคุณอยู่ในสภาวการณ์ของ
“การรอคอย”
สิ่งที่กล่าวไปข้างต้นเป็นการรอคอยในแบบระยะสั้น
ใช้เวลาไม่นานการรอคอยก็จะจบลง เช่น เป็นสถานการณ์ของการนัดพบเพื่อเจรจาทางธุรกิจแต่เจอกับปัญหารถติด
เป็นต้น แต่ผลที่ตามมาของเรื่องในลักษณะนี้มันอาจเปลี่ยนแปลงชีวิตได้
อาจทำให้เราตกงานหรือขาดรายได้ ทำให้เราผิดคำพูดคำสัญญาที่ให้ไว้
กลายเป็นบุคคลที่ไม่มีระเบียบวินัย นอกจากนี้ยังมีรูปแบบการรอคอยอีกอย่างหนึ่ง คือ
การรอคอยในระยะยาว เช่น การสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ให้กับโลก ณ วันแรกที่มันออกมา
คงเป็นไปได้ยากที่คนทั่วไปจะเข้าใจถึงการใช้ ความซับซ้อน คุณประโยชน์ต่างๆ
แต่เมื่อเวลาผ่านไปผู้คนเริ่มเรียนรู้และเข้าใจมัน เป็นต้น
ไม่ว่าการรอคอยจะอยู่รูปแบบไหนเราจะต้องเจอมันอยู่เสมอ ถ้าเช่นนั้นเราลองมาหาความเป็นจริงหรือสัจธรรมของการรอคอยว่ามีลักษณะอย่างไร
เพื่อให้เราเป็นผู้มีความเข้าใจการรอคอยอย่างแท้จริง เพื่อไม่ให้เกิดมุมมองเพียงด้านเดียว
เช่น คุณอาจจะคิดว่าเวลาของเรามีค่ามาก
เราต้องใช้ทุกวินาทีของช่วงชีวิตนี้ให้คุ้มที่สุด
แนวคิดแบบนี้ทำให้คุณกลายเป็นคนรีบเร่ง ร้อนรนตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร
ถ้าการรอคอยนี้ไม่สมหวัง เราจะยิ่งคิดเสียดายกับเวลาที่เสียไป
จะเกิดความคิดที่ว่า “อุตสาห์รอแต่ผลลัพธ์กลับแย่ รู้อย่างนี้ไม่รอดีกว่า”
ดังนั้นเราลองมาทำความเข้าใจเรื่องสัจธรรมของการรอคอยนี้เพื่อไม่ให้การรอคอยกลายเป็นเรื่องอมทุกข์ส่งผลต่อจิตใจของเรา เพื่อให้เรื่องที่ทำให้เราเป็นทุกข์น้อยลงไปอีกเรื่องหนึ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น