วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เมื่อความดีทำให้เราเจ็บปวด

  
ผมได้รับอาสาจากพระที่อยู่ทางแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ให้ไปบริจาคหนังสือธรรมะ โดยพระท่านประสงค์จะให้หนังสือที่ท่านเขียนนี้ ไปถึงผู้ปฏิบัติธรรมที่วัดใดวัดหนึ่งที่มีสถานที่ปฏิบัติธรรม ซึ่งผมแนะนำแล้วขออาสาไปเองที่จังหวัดในภาคกลาง โดยผมต้องใช้เวลาเดินทางราว 3 ชั่วโมง ซึ่งผมต้องไปเอาหนังสือที่โรงพิมพ์ในกรุงเทพในอีกมุมหนึ่งของเมืองที่ห่างจากสถานที่ที่ผมอยู่ แต่ผมเต็มใจทำ ผมไปวัดด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า จนไม่รู้สึกถึงความอ่อนล้า เมื่อถึงวัดผมหอบหนังสือกว่าร้อยเล่มที่หนักอึ่งเพียงคนเดียว หวังว่าหนังสือธรรมะเหล่านี้จะสร้างความเข้าใจให้กับผู้ปฏิบัติธรรมะอย่างลึกซึ้ง และเป็นแรงผลักดันนำไปสู่การปฏิบัติอันเป็นหนทางสูงสุดของศาสนา ผมจึงตรงเข้าไปถามพระรูปหนึ่งที่กำลังนั่งอ่านบางอย่างอยู่ ว่า

ผม : หลวงพ่อ ครับ ผมเอาหนังสือธรรมะมาบริจาคให้เอาไปรวมไว้ที่ไหน

พระ: ให้นำไปถวายแก่หลวงพ่อเจ้าอาวาส (กำลังรับข้าวของเครื่องใช้จากชาวบ้านและผู้มาเยี่ยมเยียน )

ผม : คือว่าพระทางจังหวัดอุบล ท่านมีความประสงค์จะบริจาคหนังสือเหล่านี้ให้กับผู้มาปฏิบัติธรรมในวัด

เมื่อผมพูดจบพระรูปนั้นหันกลับไปอ่านบางสิ่งบางอย่างของท่านต่อ โดยทำเป็นไม่สนใจ หรือได้ยินคำพูดของเรา และไม่คิดจะตอบคำถามใดๆ กับเราทั้งสิ้น แล้วเราก็ยืนเอ๋อกินอยู่ตรงนั้น ….

หลังจากเหตุการณ์นี้อะไรจะเกิดขึ้น จะเกิดคำถาม และความรู้สึกใดบ้างในหัวของผม  เดี๋ยวเรามาคุยเรื่องนี้กันต่อ



            เราถูกสอนให้เข้าใจ ความดี ความเลว ความริษยา กิเลศ ตัณหา ศีลธรรม การให้ การแบ่งปัน การช่วยเหลือ การเสียสละ ความซื่อสัตย์ ความพยายาม ความอดทน การมีวินัย การทำมาหาเลี้ยงชีพที่สุจริต รวมไปถึงเรื่องราวอีกมากมายที่ศาสนา ครอบครัว การศึกษา สังคมได้หล่อหลอมเลี้ยงดูเพื่อหวังว่าเราจะกลายเป็นบุคคลที่มีคุณภาพจากภายในสู่ภายนอก หวังว่าเราจะเป็นประชาชนที่ดีของประเทศชาติ

สิ่งเหล่านี้กลายเป็นพื้นฐานของความรู้ พื้นฐานแห่งจิตใจ ที่จะนำพาให้เราแสดงออกมาด้วยการ กระทำ คำพูด ให้เกิดการพัฒนาแก่สังคมที่เราอยู่ แต่ทำไมทั้งที่เราทุกคนมีพื้นฐานจิตใจแห่งความดี กลับไม่นำพาสังคมให้ออกมาในทิศทางแห่งความดี ทำไมยังมีผู้คนทำร้ายและเบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง และทำไมเหล่าผู้คนที่เคยตั้งอยู่ในทิศทางแห่งความดีกลับเปลี่ยนแปลงไม่ให้ความช่วยเหลือคนในสังคมหรือกลายเป็นคนที่อยู่เฉยๆ ไม่แสดงตนออกมาทำหน้าที่ผู้เสียสละอันยิ่งใหญ่

ซึ่งถ้ามองในแง่ของความเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของมนุษย์ ธรรมชาติของโลก นับว่าการมีผู้คนที่คอยช่วยเหลือหรือทำความดี และมีผู้คนที่เอารัดเอาเปรียบ อาจจะสรุปได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีความดี ความชั่ว ปะปนกันเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นธรรมชาติ เป็นธรรมดาของมนุษย์ที่เกิดมาด้วยแรงแห่งความปรารถนา ความอยากที่จะเสพสุข ซึ่งจำนวนของความประพฤติที่ดีหรือเลวของมนุษย์จะมีมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับความเข้าใจ การเข้าถึงความดีที่แท้จริงได้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งสามารถใช้หลักบัว 4 เหล่ามาอธิบายได้ แต่ปัญหาที่หน้าจะหนักกว่าคนดีหรือคนเลว คือ ผู้คนที่เคยกระทำแต่ความดีมาตลอดแต่แล้วได้กลับกลายเป็นคนที่แสนจะสุดแสบ กลายเป็นมนุษย์ที่หันหลังให้กับความดีแบบไม่ใยดีอีกต่อไป หรือ อยู่ในสภาวะนิ่งเฉยไม่สนใจอะไรกับคำว่าดีหรือเลว

การเปลี่ยนแปลงของเรื่องลักษณะนี้อาจเกิดขึ้นกับคนใกล้ตัวหรืออาจจะเกิดกับเราหลายต่อหลายครั้ง ดังนั้นเราควรถามคำถามยอดฮิตว่า “ทำไม” เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เราคงไม่สามารถจะหาข้อสรุปใดๆ หากไม่นำปัญหานี้มาพิจารณาทำความเข้าใจเพื่อให้ข้อสรุปที่ได้กลายเป็นพื้นฐานแห่งความคิดของเรา



จากเหตุการณ์ที่เล่าไว้ข้างต้น จะมีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง ถ้าคิดในทางที่ดี ในทางที่ถูกต้อง คือ นำหนังสือไปถวายกับเจ้าอาวาสตามที่พระบอก แต่ในความเป็นจริงมีอะไรเกิดขึ้นหละ

“โกรธ” นี่ผมผิดอะไรทำไมพระถึงไม่ตอบ หรือว่าผมเรื่องมาก รู้สึกว่าพระรูปนี้เป็นอะไร เดี๋ยวนี้พระเค้าทำกิริยาเหมือนฆราวาสแล้วหรอ หากไม่พอใจจะฟังหรือไม่มีอะไรเป็นไปตามที่ตนเองต้องการ ก็จะไม่สนใจใครหรอ  

นั่นเป็นความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้น แต่เราลองมาพิจารณาให้ดีๆ ว่าทำไมผมถึงโกรธ

1.    ผมยึดถือยึดมั่นในความดี ในความตั้งใจดี ในความพยายาม ความอดทนของตนเอง อุตส่าห์เดินทางมาไกลโดยหวังจะทำให้ความประสงค์ของพระที่อุบลสำเร็จลุล่วง และอยากให้จะให้ผู้ปฏิบัติธรรมได้เข้าใจธรรมที่ลึกซึ้ง (ผมได้อ่านแล้วเขียนได้ดีมาก โดยเน้นการปฏิบัติที่แท้จริง)
2.    ผมยึดถือยึดมั่นในผู้รับ เพราะอยากจะให้หนังสือไปถึงผู้ปฏิบัติธรรม
3.    ผมยึดถือยึดมั่นในรูปแบบของพระ เห็นว่าพระควรจะให้ความช่วยเหลือเรา เพราะสิ่งที่เราทำมันเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อศาสนา

หากเรามองให้ลึกลงไปเมื่อผมเกิดความยึดถือยึดมั่นต่อความดีที่ทำ ผลอาจทำให้ภารกิจครั้งนี้แหลกเหลวก็เป็นได้ ผมอาจจะไม่บริจาคหนังสือให้กับวัดนี้ นำไปให้วัดอื่นๆ หรืออาจจะไม่สนใจหนังสือเหล่านี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคนอื่น หรืออาจจะไม่ทำอีกเลย หรืออาจยืนทะเลาะกับพระ แต่สุดท้ายแล้วผมก็นำไปถวายแก่เจ้าอาวาสตามที่พระท่านบอก ด้วยเห็นว่า

-          ไม่มีความจำเป็นที่จะยึดติดว่าสิ่งที่ผมทำเป็นความดี ประเสริฐมากมายมหาศาล

-          ไม่มีความจำเป็นที่ว่าผู้รับจะต้องเป็นผู้ปฏิบัติธรรมเท่านั้น แต่หากเป็นใครก็ได้ที่อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วเข้าใจแก่นแท้ของธรรมมะ แม้เพียงคนเดียวก็ดีแล้ว เพราะปัญญาของมนุษย์มีไม่เท่ากัน (บัว 4 เหล่า) จะให้คนทุกคนเข้าถึงธรรมมะนั้นยากยิ่งไม่เช่นนั้นพระพุทธเจ้าก็ทำไปแล้ว

-          และไม่มีความจำเป็นที่จะถือสาพระ เอาชนะพระ หรือต้องการให้พระตั้งอยู่ในความดี ในแบบที่เราคิด เราไม่อาจควบคุมความเป็นธรรมชาติได้  ใครจะเป็นอย่างไรเราก็ต้องปล่อยให้เป็นไปอย่างนั้น จะคนทั่วไปหรือพระ ก็ยังเป็น มนุษย์ผู้ซึ่งไม่พ้นกิเลศ ไม่พ้นการยึดถือตัวตน เพราะถ้าท่านพ้นแล้วท่านคงไม่ทำแบบนั้นกับเรา


เห็นได้ว่าเพียงเรายึดถือยึดมั่นในความดี มันอาจเปลี่ยนจากเรื่องที่ประเสริฐกลายเป็นเรื่องที่แย่ที่สุด ลักษณะในเหตุการณ์ที่กล่าว อาจเกิดขึ้นในที่ทำงาน ในครอบครัว ในสังคมที่คุณอยู่ หรือ              มีเหตุการณ์อื่นๆ ที่คุณตั้งใจหมายจะทำความดี เสียสละ ทำเพื่อผู้อื่น ถ้ามีเหตุผลมากมายที่ส่งเสริมให้คุณปฏิเสธความดีเนื่องจากความดีที่ทำร้ายคุณ คุณจะยังเลือกทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ คุณจะเป็นผู้เสียสละที่ยิ่งใหญ่หรือไม่ คุณจะมี ความยึดถือยึดมั่นในความดีต่อไปหรือไม่ สุดแท้แล้วแต่คุณจะเลือก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น