วันพุธที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2556

คู่บุพเพสันนิวาส


แม้หลายคนจะผ่านประสบการณ์การครองคู่ การมีคู่ชีวิตกันมามากแต่ต้องพบกับปัญหาต่างๆ ทั้งตั้งแต่เป็นแฟนกันจนถึงแต่งงาน บางคู่อยู่กันได้ไม่ถึงการแต่งงาน บางคู่แต่งกันมาเป็นสิบๆปี กลับเลิกรากันไป บางคู่เป็นแฟนกันได้ไม่นานแต่มีปัญหาตามมามากมาย
           จึงนำหลักการทางศาสนาที่ว่ากันตามความเป็นเหตุเป็นผลมาอธิบายในเรื่องของการร่วมชีวิตกันของคู่สามีภรรยาให้ยืนยาว แม้ผู้อ่านท่านใดจะไม่มีความเชื่อตามศาสนาพุทธ จะสามารถเข้าใจได้โดยใช้การวิเคราะห์พื้นฐานหาการเชื่อมโยงของหลักการกับความเป็นจริงได้

ขอเริ่มต้นด้วยพุทธวจน หรือคำสอนที่พระพุทธเจ้ากล่าวเกี่ยวกับเรื่องคู่บุพเพสันนิวาส โดยไม่มีการเปลี่ยนตัวอักษรใดๆ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านในการจดจำคำตถาคตซึ่งเป็นต้นฉบับตามหลักฐานที่เก่าที่สุด และจะอธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่ผู้เขียนเข้าใจ ถัดจากคำสอนต่อไปนี้

ภิกษุทั้งหลาย !  ถ้าภรรยาและสามีทั้งสอง

พึงหวังพบกันและกันทั้งในปัจจุบันและในสัมปรายภพ

ทั้งสองเทียว พึงเป็นผู้มีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน

มีจาคะเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน ภรรยาและสามี

ทั้งสองนั้นย่อมได้พบกันและกันทั้งในปัจจุบันทั้งในสัมปรายภพ.

ภรรยาและสามีทั้งสอง เป็นผู้มีศรัทธารู้ความ

ประสงค์ของผู้ขอ มีความสารวม เป็นอยู่โดยธรรม เจรจา

ถ้อยคำที่น่ารักแก่กันและกัน ย่อมมีความเจริญรุ่งเรืองมาก

มีความผาสุกทั้งสองฝ่าย มีศีลเสมอกัน รักใคร่กันมาก

ไม่มีใจร้ายต่อกัน ประพฤติธรรมในโลกนี้แล้ว ทั้งสอง

เป็นผู้มีศีลและวัตรเสมอกัน ย่อมเป็นผู้เสวยกามารมณ์

เพลิดเพลินบันเทิงใจอยู่ในเทวโลก    (จตุกฺก. อํ. ๒๑/๘๑/๕๖.)



คำว่าศรัทธา หมายถึง ความมีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้า ว่าท่านเป็นผู้ไกลจากกิเลศ เป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยพระองค์เอง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและข้อปฏิบัติให้วิชชา เป็นผู้ไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูสอนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานในธรรม เป็นผู้มีจำเริญจำแนกแจกธรรมสั่งสอนแก่มวลมนุษย์

ถ้าจะพูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ มีความเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ตรัสรู้จริง ธรรมที่ท่านกล่าวสอนเป็นความจริง หากมีความศรัทธาต่อตถาคตเป็นอย่างมาก  ความเชื่อที่มีอยู่มากนี้จะทำให้ไม่มีความลังเลสงสัยนำไปสู่การปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ศึกษาธรรมไปโดยปริยาย แต่ถ้ามีความลังเลสงสัยอยู่แต่ไม่มากแล้วปฏิบัติ ความลังเลสงสัยจะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ เพราะได้เห็นความจริงตามหลักธรรม แต่ถ้าหากมีความลังเลสงสัยอันจะเป็นเหตุให้ไม่นำไปสู่การปฏิบัติเพราะมัวแต่จะหาคำตอบว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ แล้วธรรมที่กล่าวสอนเป็นความจริงหรือไม่ เมื่อเป็นเช่นนั้นหากสามีเป็นผู้ศรัทธาต่อพระตถาคต ภรรยาไม่มีศรัทธา นั่นก็จะเป็นเหตุให้ทั้งสองคนปฏิบัติไม่เหมือนกัน ตาม 3 ข้อหลังจากนี้ และจะทำให้ไม่ได้อยู่ได้กันอย่างคู่บุพเพสันนิวาส

ศีล หมายถึง ตัวศีล 5 ที่รักษาไว้ซึ่งกาย วาจา เช่น สามีเป็นคนชอบดื่มเหล้า ภรรยาถือศีล ถามว่าจะอยู่กันได้ไหม ตอบว่าอยู่กันได้แต่คงไม่นานเท่าไหร่ เพราะสุดท้ายต้นเหตุอันนี้จะนำมาสู่ความแตกแยกในที่สุด หรือภรรยาเป็นผู้นอกใจสามี สุดท้ายจะเป็นเหตุให้ต้องเลิกรากันไปอยู่ดี

จาคะ หมายถึง ความเสียสละ ความไม่ตระหนี่ การให้โดยปล่อยอยู่เป็นประจำ หากฝ่ายหนึ่งรู้จักให้ มีความเสียสละ อีกฝ่ายขี้เหนียว ต้องมีสักวันอยู่แล้วที่จะเลาะเบาะแว้งกันด้วยเรื่องนี้เป็นเหตุ ไม่ว่าจะทำอะไรจะขัดกันตลอด เพราะฝ่ายหนึ่งมีจิตใจแห่งผู้ให้อยู่เสมอ แบ่งปันเสมอ ฝ่ายที่ขี้หวงไม่ยอมให้อะไรกับใครง่ายๆ จะพยายามที่จะให้อีกฝ่ายเป็นเหมือนตนเองไปด้วย เพราะหวงแม้กระทั่งของๆ อีกฝ่าย

ปัญญา หมายถึง การละความโลภ ความคิดร้ายพยาบาท ความฟุ้งซ่านรำคาญ ความหดหู่ ความลังเลสงสัย ซึ่งถ้าในความเข้าใจของผู้เขียนนัยที่หนึ่ง เห็นว่าเป็นการเข้าใจตามธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน นั่นคือ อริยสัจ 4 อันนำมาสู่การปฏิบัติในหนทางการดับทุกข์ตามเป้าหมายสูงสุดของศาสนา นัยที่สองตามความเห็นผู้เขียน คือ การเข้าใจว่าอะไรควรไม่ควร อะไรถูกอะไรผิด เข้าใจต่อปัญหา ต้นเหตุและการแก้ไขในแต่ละเรื่อง ในกรณีที่สามีภรรยามีความเข้าใจไม่ตรงกันต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดการถกเถียงเกิดความไม่ลงรอยกันได้ เมื่อคนหนึ่งดำเนินชีวิตด้วยหลักธรรม เช่น ถือศีลไม่กล่าวคำโกหกหลอกหลวงเลี้ยงชีพ อีกคนหนึ่งใช้คำโกหกหลอกลวงเลี้ยงชีพ ถามว่าหากเป็นเช่นนี้จะอยู่ด้วยกันได้หรือไม่

ตัวอย่างส่วนใหญ่จะชี้ให้เห็นถึงกรณีที่เกิดขึ้นภายในชาตินี้หรือในปัจจุบัน แต่ในคำสอนข้างต้นจะเห็นว่ามีความหมายถึงภพหน้าด้วย (สัมปรายภพ) ถ้าเราใช้หลักนี้อธิบายจากเรื่องศีล ในกรณีที่สามีภรรยามีศีลไม่เสมอกัน ซึ่งถ้าฝ่ายชายทุศีลจะเป็นเหตุให้ตกนรก ส่วนถ้าฝ่ายหญิงถือศีลจะเป็นเหตุให้ไปเกิดในสวรรค์ ตัวอย่างนี้น่าจะทำให้เราเห็นภาพมากขึ้นว่า ทำไมถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันในภพต่อไป และทำอย่างไรจะเป็นคู่บุพเพสันนิวาสที่ได้อยู่ด้วยกันตลอดไป

ส่วนผู้ที่มีความเห็นว่า ชาติหน้า ภพหน้าไม่มีจริง ขอให้อย่าปล่อยเป็นเพียงความสงสัย ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นภายในความคิด แล้วลองนำความสงสัยความขัดแย้งที่เห็นว่าชาติหน้าไม่มีจริง ไปตรวจหาความจริงในพุทธวจน เพราะได้มีการอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลไว้ให้สามารถเห็นได้ว่า ชาติหน้าหรือภพหน้ามีจริงหรือไม่ หรือเป็นแค่คำบอกกล่าวกันมาเฉยๆ สาเหตุที่ให้นำไปตรวจดูในพุทธวจน เพราะธรรมะที่เราร่ำเรียนกันมามีส่วนที่เพิ่มเติมและตัดออกไปจากคำสอนพระตถาคตแบบเพียวๆ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น