วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สถานที่ผ่อนคลายที่ดีที่สุด


            อย่างที่เคยกล่าวไปในบทความก่อนหน้านี้ว่า เราใช้เวลามากมายสำหรับการคิดจดจ่อและกระทำสิ่งต่างๆ เมื่อเรากระทำสิ่งเหล่านั้นมากๆ เข้า ทำให้เกิดการสะสมอารมณ์ที่เป็นความทุกข์ ความเป็นกังวลในสิ่งที่ทำ ต้องการให้สิ่งที่คิดที่ทำออกมาดี เป็นที่ยอมรับจากลูกค้า นายจ้าง เพื่อนร่วมงาน ครอบครัวหรือสังคมที่เราอยู่
แต่ละบุคคลดำเนินไปตามเส้นทางที่ตนเองถนัดหรือชื่นชอบ แต่ด้วยหลักการในการหาคำตอบที่ดีที่สุดหรือต้องการหาความถูกต้องที่สุดเพียงคำตอบเดียว ทำให้เราพยายามที่จะค้นหา คิด กระทำ สิ่งที่ดีที่สุดอยู่เสมอ ต้องการให้สิ่งที่ทำโดนใจผู้อื่นมากที่สุดเพื่อให้ผู้คนเหล่านั้นยอมรับเรา  กลายเป็นความเคยชิน อยู่ลึกเข้าไปภายในทุกขณะของการคิด เช่น เราต้องการอาหารที่อร่อยที่สุด คุ้มค่าเงินที่สุด มีประโยชน์สูงสุด ใช้วัตถุดิบในการประกอบอาหารที่สะอาดที่สุด มีการคัดสรรวัตถุดิบมาเป็นพิเศษ ร้านอาหารที่ไปกินจะต้องมีบรรยากาศดีที่สุด พาชนะ การจัดวาง และ บริการดีที่สุด เป็นต้น

            แนวคิดในการหาคำตอบที่เชื่อว่ามีคำตอบที่ดีที่สุดเพียงคำตอบเดียว นำมาซึ่งความไม่อยากที่จะยอมรับความล้มเหลว อยู่ในการคิด ไตร่ตรอง วิเคราะห์ วางแผน กระทำ ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการ ลากยาวไปถึงความเชื่อมโยงของแต่ละกระบวนที่มีความซับซ้อน เพื่อให้ได้สิ่งที่สุดยอดที่สุด เมื่อระบบแนวคิดนี้อยู่ในทุกภาคส่วนของการคิด การกระทำ เราจึงอยู่กับความเครียดมากกว่าการผ่อนคลาย เวลาส่วนใหญ่เราจะพยายามไม่ให้เกิดความผิดพลาด จึงเกิดการเปรียบเทียบ เพื่อคอยควบคุมวัดผลอยู่ตลอดเวลาต่อสิ่งที่กระทำ ให้อยู่ในทิศทางแห่งความสำเร็จ เราจะกลายเป็นบุคคลที่อมทุกข์อย่างฝังแน่น ไม่มีโอกาสในการหลีกหนีความเครียดอันเกิดจากสิ่งที่ทำอยู่ได้ ลองคิดดูว่าในหนึ่งวันในแต่ละวินาทีเราอยู่กับความคาดหวังที่จะประสบแต่สิ่งที่ดีที่สุดเป็นเวลาเท่าใด

เมื่อภาวะนี้เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัว ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ วันละหลายๆชั่วโมง เป็นเดือน เป็นปี จึงมีอาการที่เป็นผลกระทบของจิตที่มีแต่ความหมกมุ่น ส่งต่อไปยังร่างกาย แสดงออกมาเป็นโรคภัยไข้เจ็บ ถึงแม้ว่าเราจะมีวันพักผ่อน มีสถานที่ผ่อนคลายความทุกข์ เราได้อยู่กับครอบครัว ทำกิจกรรมบันเทิง รับสิ่งบันเทิง ทำให้จิตอยู่ในสภาวะที่ไม่ต้องแบกรับความคาดหวัง แต่สิ่งที่ทำก็เป็นเพียงช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น เราได้สะสมความเครียด ความกังวล เราให้เวลากับสิ่งที่ทำมากกว่าเวลาพักผ่อน



การผ่อนคลายในวันพักผ่อน การไปเที่ยวในสถานที่ต่างๆ เพื่อรับบรรยากาศที่ดี รับสิ่งสวยงาม  จิตเราอยู่ในสภาวะของการรับอารมณ์ความสุขที่เกิดจากการรับรู้ของประสาทสัมผัส เราจึงชื่นชอบการท่องเที่ยว การพักผ่อน การรับสิ่งบันเทิงต่างๆ มากกว่าการทำงาน เพราะขณะทำงานจิตอยู่ในสภาวะของความกังวลอยู่ตลอด หลายคนจึงคิดว่าเวลาที่จะให้จิตได้พักผ่อน ให้กายได้สุขสบาย ไร้ซึ่งความทุกข์ใดๆ จะพยายามสรรหาสถานที่ท่องเที่ยวดีๆ อาหารที่สุดแสนอร่อย อยู่ในวิถีชีวิตที่ไม่เร่งรีบ ไม่มีสภาพแวดล้อมของการแข่งขัน การแก่งแย่งใดๆ ทั้งมีคนใกล้ตัวที่คอยมาเอาใจ คอยตามใจ แต่ในบางครั้งแม้ในขณะที่ท่องเที่ยวอยู่ก็ยังเกิดความเครียดได้ เพราะได้รับสิ่งที่ไม่ชอบ ขัดใจ เช่น การทะเลาะเบาะแว้งกันของผู้คนที่ไปท่องเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ให้บริการที่พักกับลูกค้า ผู้คนที่พักอาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงกัน หรือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในกลุ่มเดียวกัน สถานการณ์เหล่านี้ทำให้เรารู้สึกเสียบรรยากาศในการท่องเที่ยว เป็นต้น

            นั่นเพราะเราคาดหวังว่าจะเจอแต่สิ่งที่ดีๆหรือสิ่งดีที่สุด คาดหวังว่าจะได้รับบรรยากาศการผ่อนคลายที่จะทำให้สุขที่สุดจากวันพักผ่อนจากการทำงานที่หน้าปวดหัว หลักพื้นฐานของการหาคำตอบที่ดีที่สุดเพียงคำตอบเดียวยังคงอยู่ ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมใดเราก็ยังรู้สึกถึงความทุกข์ได้แม้ในขณะท่องเที่ยว

เมื่อคิดมุ่งแต่ความสุขแม้ในขณะเวลาพักผ่อนเราก็คาดหวังจะรับแต่ความสุขสบาย ทำงานก็หวังว่าจะได้รับการยอมรับนับถือจากบุคคลที่เกี่ยวข้องในสิ่งที่เราทำ เราอยู่สภาวะอารมณ์เคร่งเครียดมากกว่าอารมณ์ผ่อนคลาย เรามีอารมณ์ของความกังวลที่จะไม่อยากรับความทุกข์ “ยิ่งเราอยากได้ความสุขมากเท่าไหร่เราก็จะได้รับความทุกข์มากเท่านั้น” เพราะเป็นสิ่งที่คู่กันตามกฎธรรมชาติ ตามสัจธรรม มีสะอาดก็มีสกปรก มีความสวยงามย่อมมีความน่าเกลียด หากเราไปยึดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ว่าจะเป็นความไม่ต้องการทุกข์หรืออยากจะรับแต่ความสุข เราไม่อาจหลีกหนีสิ่งตรงข้ามได้ ซึ่งทางออกมีเหลือหนทางเดียวที่จะทำได้ คือ ถอนออกจากคาดความหวังในสิ่งเหล่านั้น แล้วจิตของเราจะอยู่ในสภาวะของการพักผ่อนตลอดเวลา

ในความเป็นจริงแล้วจิตของเราจะสามารถผ่อนคลายได้ทุกขณะ ไม่ว่าจะอยู่ในบริบทใดก็ตาม ในสภาวะของการแข่งขัน ความเคร่งเครียด การเอาชนะ การเอารัดเอาเปรียบ การถูกบีบคั้นจากผู้มีอำนาจที่สูงกว่า หรือแม้ในขณะที่ตัวของเราอยู่ในที่ๆไม่สามารถขยับได้เขยื้อนไปไหนได้ ซึ่งทำได้ง่ายๆเพียงเราไม่เกาะติดในอารมณ์ที่เกิดขึ้น ในสิ่งรอบตัวที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เราไม่ชอบมากเพียงใด หรือทำให้เราปิติสุขจากการได้รับความสำเร็จในสิ่งที่ทำมากเพียงใด

อ้างอิง

อภิชัย พันธเสน 2554, พุทธเศรษฐศาสตร์ วิวัฒนาการ ทฤษฎี และการประยุกต์กับเศรษฐศาสตร์สาขาต่างๆ. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อมรินทร์.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น