หากเราสามารถสร้างความพิถีพิถันตั้งแต่รากฐาน
นั่นคือ การคิดไตร่ตรองด้วยความละเอียดถี่ถ้วน มองในมุมมองที่หลากหลาย ลึกลงไปถึงแก่นแท้ของการคิดวิเคราะห์ต่อเรื่องๆหนึ่ง
เราจะมีความเข้าใจความเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ความเป็นสัจธรรมของโลก
เราจะมองที่คุณประโยชน์หรือคุณค่าหลักของแต่ละสิ่งเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก
ทำให้การแสดงความคิดเห็น การแสดงออกทางการกระทำ คำพูด หรือ การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ นำมาซึ่งความเป็นเหตุเป็นผลที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง และจะนำมาสู่ความเข้าใจของสิ่งที่ไม่เคยเข้าถึงหรือสิ่งที่เราคิดว่ายากต่อการปฏิบัติในความเป็นจริง
ทำให้การแสดงความคิดเห็น การแสดงออกทางการกระทำ คำพูด หรือ การสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ นำมาซึ่งความเป็นเหตุเป็นผลที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง และจะนำมาสู่ความเข้าใจของสิ่งที่ไม่เคยเข้าถึงหรือสิ่งที่เราคิดว่ายากต่อการปฏิบัติในความเป็นจริง
ยกตัวอย่างเช่น การเข้าใจในกุศโลบายที่ซ่อนอยู่ของศาสนา ผ่านการนำดอกไม้ใส่แจกันวางประดับที่โต๊ะหมู่บูชาพระพุทธรูป
หากถามถึงเหตุว่าทำไมจะต้องนำดอกไม้ไปวางประดับ ซึ่งมีความเชื่อหนึ่งที่ว่าการถวายดอกไม้ประดับเพื่อให้ชาติหน้าเกิดมาจะได้มีหน้าตาที่สวยหล่อ!!
แต่บางคนมองว่า เรานำดอกไม้มาวางประดับเพื่อให้เกิดความสวยงามและกลิ่นหอมจากดอกไม้ที่โต๊ะหมู่บูชาเท่านั้น
ไม่ว่าจะด้วยวัตถุประสงค์ใด เมื่อเวลาผ่านไปความสวยงามและกลิ่นหอมก็หมดลงกลับกลายเป็นความเหม็นเน่า
มีแต่ความแห้งเหี่ยวของดอกไม้ ทางแก้คือ นำดอกไม้เหล่านั้นไปทิ้งแล้วนำดอกไม้ชุดใหม่มาวางพร้อมเปลี่ยนน้ำในแจกัน
แต่ถ้าคิดไตร่ตรองให้ลึกซึ้งตามหลักที่แท้จริงของศาสนา
เรานำดอกไม้ประดับโต๊ะหมู่บูชาเพื่อหวังในความสุขที่เห็นสิ่งสวยงามอยู่หน้าพระพุทธรูป
ด้วยความต้องการให้ความสวยและต้องการให้มีกลิ่นหอมของดอกไม้ยึดยาวขึ้น จึงนำดอกไม้ใส่แจกันเพื่อให้น้ำในแจกันหล่อเลี้ยงดอกไม้ให้คงอยู่นานขึ้น
เราวางดอกไม้เพื่อหวังในความสุขที่เห็นความสวยงามและกลิ่นหอม
เมื่อดอกไม้แห้งเหี่ยวส่งกลิ่นเหม็นจึงเกิดความทุกข์ ทำให้ได้ข้อสรุปว่า “ในที่ที่มีความสุขมากที่สุด
คือ ที่ที่มีความทุกข์มากที่สุดเช่นเดียวกัน” ยิ่งต้องการให้ความสวย ความหอม
ยืนยาวมากเท่าไหร่ ยิ่งได้รับความเน่าเหม็นที่รุนแรงกว่าการนำดอกไม้มาวางเปล่าๆ
โดยไม่ใส่แจกันที่มีน้ำล่อเลี้ยงเสียอีก
ดังนั้น ทางแก้ตามหลักศาสนาเพื่อขจัดความทุกข์ที่มาจากลิ่นเน่าเหม็น
คือ ไม่นำดอกไม้มาวางอีกต่อไป
ทำให้ไม่ต้องเจอกับความสุขและความทุกข์ของเรื่องดอกไม้เครื่องประดับอีกตลอดกาล
หากไม่ได้ใส่ใจในการคิดไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน
เราก็ยังคงหาเหตุผลที่แท้จริงหรือความเชื่อมโยงที่สมเหตุสมผลกันของการนำดอกไม้เพื่อประดับโต๊ะหมู่บูชาไมได้
จึงทำให้เราเข้าใจผิด ทำให้เกิดการ กระทำตามความเชื่อที่ดูไม่มีความเชื่อมโยงกัน
เช่น ความเชื่อที่ว่าการถวายดอกไม้ประดับจะทำให้ชาติหน้าเกิดมามีหน้าตาสวยหล่อ
เป็นต้น หรือเราอาจไม่ใส่ใจสิ่งใดที่ศาสนามอบให้อีกเลยก็ได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น